กลุ่มกาแฟบ้านใหม่พัฒนา : ทีละก้าว อย่างมั่นคง
ภูมิประเทศโดยรอบของ บ้านใหม่พัฒนา เป็นพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,100 – 1,200 เมตร อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แวดล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟ
เดิมทีชาวบ้านปลูกฝิ่น แต่ก็ได้เลิกไปเมื่อปี 2536 หลังจาก ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกกาแฟ ชาวบ้านจึงเริ่มหันมาทำไร่กาแฟทดแทน โดยจะมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อกาแฟแบบ “เชอรี่” (เมล็ดกาแฟสุก เปลือกมีสีแดงเหมือนเชอรี่) ถึงหน้าสวน ในราคากิโลกรัมละ 6-7 บาท
เดือนตุลาคม – มีนาคม คือช่วงเมล็ดกาแฟสุก จะเก็บขายได้ทุกวัน เฉลี่ยวันละประมาณ 50 กิโลกรัม
ปี 2548 โครงการหลวง เข้ามารับซื้อกาแฟแบบ “กะลา” (เมล็ดกาแฟที่สีเอาเปลือกเชอรี่ออกแล้ว เหลือเปลือกในประกบกันมีลักษณะเหมือนกะลา) จากเกษตร ในราคากิโลกรัมละ 110-130 บาท
“เรามาเริ่มปลูกจริง ๆ จัง ๆ ก็หลังปี 2540 พอหลังโครงการหลวงเข้ามาซื้อแบบกะลา ราคามันดีกว่า รายได้เราก็เริ่มดีขึ้น บางคนก็เริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง เพราะกาแฟนี่ ปลายน้ำ จะได้กำไรดีกว่า ต้นน้ำ แต่มันก็ต่างคนต่างทำไป ต่างคนต่างขาย” ตั๋ว จางอรุณ เจ้าของแบรนด์ ตั๋วกับหมี เกษตรกรปลูกกาแฟมายาวนานตั้งแต่เริ่มต้น
ปี 2561 มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “กลุ่มกาแฟบ้านใหม่พัฒนา” ได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานรัฐต่าง ๆ สามารถแปรรูปกาแฟ และสร้างแบรนด์ของตัวเองได้
“สำหรับ อ.เมืองปาน ธกส. เรายกกาแฟเป็นพืชสำคัญ เป้าหมายสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกร เพราะกาแฟเป็นพืชหลักของที่นี่ ทั้งขยายการสนับสนุนเงินกู้ การตลาด ให้มีคุณภาพ ดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ คือ ตั้งแต่ปลูก ยันปลายน้ำ คือ ช่องทางตลาด ให้กับลูกค้าธนาคาร ตอนนี้กลุ่มกาแฟบ้านใหม่พัฒนา มีแบรนด์เป็นของตัวเอง มีโรงคั่วกาแฟ มีเครื่องคั่วกาแฟที่มีคุณภาพ เราก็จะสนับสนุนส่งเสริมต่อไปให้กลุ่มเข้มแข็งมากขึ้น ๆ” พนนิษฐ์ ไหวพินิจ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขา อ.เมืองปาน เล่าทิ้งท้าย
ปัจจุบันคนบ้านใหม่พัฒนามีอาชีพปลูกกาแฟกว่า 90% หรือประมาณ 190 หลังคาเรือน คิดเป็นพื้นที่สวนกาแฟกว่า 500 ไร่ สามารถผลิตกาแฟได้มากกว่า 500 ตันต่อปี ทั้งปลูกเพื่อขายและนำมาแปรรูป สร้างรายได้ให้ชุมชนได้อย่างยั่งยืน